Exness

12 เรื่อง ที่ต้องรู้ในการเทรด


บทความนี้ ไม่ไใช่เคล็ดลับที่จะช่วย หรือทำให้คุณมีแรงบันดาลใจ แต่เป็น ความจริง เป็นเรื่องที่ใครก็ไม่อยากพูดถึง เราต้องเรียนรู้ ทั้ง 12 เรื่อง ต่อไปนี้ แล้วจะทำให้คุณ เข้าใกล้ความสำเร็จ มากขึ้น

1. เรียนรู้พื้นฐาน

ถ้าคุณยังเป็นมือใหม่ คุณต้องเรียนรู้พื้นฐานการเทรด !
เป็นเรื่องที่ต้องพูดถึง พูดถึงนักเทรดหน้าใหม่ มือใหม่ส่วนมากจะมองข้ามการเข้าใจพื้นฐานไป แล้วกระโดดเข้าไปสู่ สงครามอย่างเต็มรูปแบบ แน่นอน มันส่งผลร้ายแรงกับพวกเขา

2. คุณจะไม่รวยเร็ว แต่ประสบการณ์จะทำให้คุณรวย
หาก คุณเข้ามาเทรดเพราะอยากจะรวยเร็ว คุณคือนักเดินทางที่ไม่มีเข็มทิศ อย่ามัวแต่ไร้เดียงสา การเทรดเป็นเรื่อง ของประสบการณ์ ยิ่งคุณมีประสบการณ์มากเท่าไหร่ คุณก็จะเทรดได้ดียิ่งขึ้น มักมีการถามบ่อย ๆ เช่น คุณทำกำไร 90 จุด ได้ยังไง ผมทำได้แค่ 70 จุด ทั้ง ๆ ที่เทรดเหมือนกัน ? มันเป็นเพราะประสบการณ์ หากเราเทรดมา 5 ปี เป็น นักเทรดที่มีประสิทธิภาพ เราย่อมจะเห็นสิ่งที่มือใหม่ไม่เห็น เพราะใช้ประสบการณ์ เส้นทางของการเป็นเทรดเดอร์ เป็นเส้นทาง ที่ยาว ดังนั้นเราต้องเตรียมตัวไว้ 1 – 3 ปี กว่าที่เราจะได้กำไรอย่างต่อเนื่อง จำไว้เสมอว่า Forex ก็เป็นอาชีพหนึ่ง ไม่ใช่หนทางลัดไปสู่การรวยเร็ว

3. ผู้เชี่ยวชาญผู้หลอกลวง

การฟังความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ต่าง ๆ นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ปัญหาคือ ตลาดเงิน เป็นที่ที่มือใหม่ทุกคน ชอบคิดว่า ตัวเองนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญ และ คนอื่น ๆ อีกมากมาย ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีอายุตั้งแต่ 30 – 60 ปีนั้น ไม่ว่าจะเป็น ผู้ชาย หรือผู้หญิง ที่ชอบใส่สูท จะบอกว่า ตัวเองเป็นนักเทรดมืออาชีพ และขอให้คุณซื้อหนังสือของพวกเขา คนเหล่านี้ ส่วนใหญ่ ล้วนแต่เป็นเทรดเดอร์ที่ล้มเหลว ซึ่งจะทำเงินจาก การสอนผู้อื่นเทรดว่า ทำไมถึงขาดทุน

พวกที่อ้างตัวว่าเป็นมืออาชีพ มักจะเป็น ดังนี้...
1. ชอบให้ข้อมูลเก่า ๆ ซ้ำ ๆ แล้วก็ไม่เวิร์ค
2. พวกเขามักจะบอกว่าพวกเขาเป็นนักเทรดมืออาชีพที่รวยและพยายามขายหนังสือให้กับคุณ
3. พวกเขาจะบอกถึงสิ่งที่เขาทำได้ เช่น เขาทำเงิน 1 พันเหรียญ ให้กลายเป็น 1 ล้านเหรียญภายใน 1 สัปดาห์ หรืออะไรประมาณนี้
4. พยายามพิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นนักเทรดที่ได้กำไร โดยการโพสต์ภาพที่แต่งขึ้นโดย photoshop
5. ชอบใช้คณิตศาสตร์เพื่อให้ตัวเองดูว่าเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ มากกว่าที่เขาเป็นอยู่จริง ตัวอย่างเช่น พูดถึงแต่ออร์เดอร์ที่กำไรหลายครั้ง แต่ไม่ค่อยจะยอมพูดถึงออร์เดอร์ที่ขาดทุน

ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญ หรือมืออาชีพนั้นเป็นเรื่องตลก ระวังอย่าไปหลงเชื่อสิ่งที่พวกเขาพูด

4. วิเคราะห์ด้วยตัวคุณเอง

ต่อ เนื่องจากข้อ 3 การที่เดินตาม คนอื่น จะทำให้คุณเป็น แกะตาบอด เป้าหมายของคุณ คือการเป็นนักเทรด ที่ ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่ตามใคร ซักคน อย่างไม่ลืมหูลืมตา ปล่อยให้เขาจูงจมูก ไม่ว่าจะไปทางไหน ในฐานะ นักเทรด คุณจำเป็นต้องมีวิธีการ ขั้นตอนในการวิเคราะห์ตลาด และสามารถทำการวิเคราะห์ด้วยตัวเอง ซึ่งจะทำให้ คุณเข้าใกล้ ความเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น

การวิเคราะห์ด้วยตัวเอง จะทำให้...
1. ทำให้คุณ เป็นคนมีความมั่นใจในตัวเอง
2. ได้เรียนรู้ในการเทรด

ถ้า คุณตามคนที่บอกว่าเขาเป็นมืออาชีพ อย่างไม่ลืมหูลืมตา คุณก็ไม่ต่างอะไรกับตัวเลมมิ่ง คุณจะทำกำไรได้อย่างไร ถ้าวันนึงมืออาชีพเหล่านั้น ไม่ให้เคล็ดลับ หรือเคล็ดลับของเขามันใช้ไม่ได้อีกต่อไป

คุณจะเข้าใจหรือไม่ว่า พวกเขา มาบอกคุณทำไม ?
ทำไมตอนนี้พวกเขาไม่มาบอกคุณอีกแล้ว ?

5. ตำนาน เดโม
หาก คุณอยากจะเป็นนักมวยอาชีพ คุณต้องออกไปซื้อ เกมส์ต่อยมวย เอามาเล่นบนเครื่อง Play 3 แล้วก็มาฝึกมวย อ่านแล้วรู้สึกยังไงบ้าง ? มันก็เหมือนกับการเทรดเดโม แล้วคุณหวังว่า จะกลายเป็นนักเทรดมืออาชีพได้

การเทรดเดโม 3 เดือน ไม่เหมาะด้วยเหตุผลสองประการ :
1. เดโม ทำให้มือใหม่มั่นใจแบบผิด ๆ และทำให้พวกเขาติดนิสัยการเทรดที่ไม่ดี
2. บัญชีเดโม เรามักจะเทรดได้ดีกว่าบัญชีเงินจริงเสมอ เพราะมีออพชั่นที่ดีกว่า เช่น ส่งออร์เดอร์ได้ไวกว่า เร็วกว่า และปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย

วิธีแก้ คือ
ใช้เด โมในการเรียนรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวิธีการเทรด เมื่อคุณพร้อมที่จะเทรด คุณควรเทรดด้วยเงินจริงเท่านั้น ซึ่ง ทุกวันนี้ คุณสามารถเปิดบัญชีด้วยเงินเพียง 10 เหรียญ แล้วทำไมจึงไม่เทรดเงินจริงกัน ถ้าหากยังไม่มีความสามารถหาเงิน 10 เหรียญมาเทรดได้ ก็ไม่ต้องมาเทรดเลยดีกว่า...

6. พยายามแก้ปัญหาการขาดทุนติดกันให้ได้


นี่เป็นข้อที่สาคัญที่สุดที่ควรใส่ใจในการเทรด ถ้าไม่มีกฏข้อนี้บอกได้เลยว่า คงไม่ได้เป็นเทรดเดอร์ ที่ประสบความ สาเร็จ ถ้าคุณเสียติดกัน สามครั้งติด ๆ กัน ให้อยู่ห่าง ๆ จากกราฟ หยุดไปซักพัก แล้วกลับมา พร้อมสมอง ที่ว่างเปล่า การเทรดเสียติด ๆ กัน เป็นสิ่งอันตรายมาก และสามารถนำเราไปสู่การเสียครั้งใหญ่ได้ แค่นี้คงอธิบายได้ชัดพอ ไม่ต้องย้ำอะไรมาก

7. การตามคนอื่น
เคย ได้ยินไหมว่า ? นักเทรดส่วนใหญ่ของมือใหม่ 90 % ล้มเหลวกันทั้งนั้น อย่างไรก็ตาม มันก็จริง ที่บอกว่า นักเทรด มือใหม่่ส่วนใหญ่ ที่เข้ามาในตลาด ต่างก็ล้มเหลว

ความลับ ก็คือ การคิดต่างออกจากปากคนส่วนใหญ่ และเทรดด้วยตัวเอง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ให้คุณอยู่ห่าง ๆ จากบอร์ดต่าง ๆ แต่หมายถึง คุณควรทำาทุกอย่างด้วยตัวเอง หาความรู้ประสบการณ์ ในการที่จะเป็นอิสระ จาก การตามความคิดของผู้อื่น

ลองคิดเรื่องพวกนี้ดู...
1. นักเทรดส่วนใหญ่ที่เป็นมือใหม่ ล้วนแต่ล้มเหลว
2. ถ้าเราตามคนส่วนใหญ่ เราก็จะเป็นส่วนหนึ่งของคนส่วนใหญ่
3. ถ้าเราเป็นส่วนหนึ่งของคนส่วนใหญ่ เราก็จะล้มเหลว

การที่จะเป็นอิสระ ต้องไม่เป็นผู้ตาม

8. ยึดมั่นในวิธีการของตัวเอง
วิธี การเทรดไม่ว่าวิธีใดก็ตาม ย่อมมีขึ้นมีลง ไม่มีระบบเทรด วิธีการใด หรือการเทรดแบบไหน ที่จะได้กำไร 100 % ตลอดไป วิธีการ เช่น มีโอกาสกำไรเฉลี่ย เท่ากับ 80 % บางช่วงของปี ควรจะได้กาไร 60 % หรือบางทีในช่วงอื่น ๆ ของปีก็ได้กาไร 100 % ซักหนึ่งหรือสองเดือน ควรรู้ว่าแต่ละปี จะต้องเจอช่วงที่แย่ และต้องเสียมากกว่าที่เคยเสีย เราจะต้องไม่สูญสิ้นศรัทธา และยังเทรดมันต่อไป

แต่ปัญหาของมือใหม่ คือ จะยอมแพ้ หลังจากเพียงแค่ สัปดาห์แรกเท่านั้น
อย่าทิ้งระบบของคุณเมื่อเวลาแย่ ๆ มาถึง


9. พยายามทำให้มันธรรมดาที่สุด นี่เป็นเรื่องง่าย และ ธรรมดา !
การ เทรดไม่จำเป็นต้องยุ่งยาก หรือซับซ้อน ตัวอย่างวิธีการเทรด ค่อนข้างธรรมดาและมีประสิทธิภาพ ใช้เวลา 2 -5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในการเทรด โดยส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตตามปกติ วิธีการเทรดไม่ต้องซับซ้อน และยากต่อการทำ ความเข้าใจ
ทำให้มันง่าย ซึ่งจะทำให้คุณ:
1. ใช้ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. ไม่ต้องเฝ้ามาก
3. ทำให้เรียนรู้ได้เร็วยิ่งขึ้น

ถ้าคุณจำอะไรเกี่ยวกับบทความนี้ไม่ได้เลย คุณต้องจำข้อ 10

10. เทรดเพียงคู่เดียวเท่านั้น
กุญแจ ไปสู่ประตูแห่งการเปลี่ยนแปลงตัวเอง จากมือใหม่ไปสู่มืออาชีพ คือ การทำให้การเทรดของคุณ เป็นเรื่อง ธรรมดาที่สุด วิธีหนึ่งที่ง่ายที่สุด คือ การทำให้การเทรดของคุณนั้นธรรมดาที่สุด โดยการเทรดแค่ คู่เงินเดียว ข้อนี้ธรรมดามาก แต่ว่าไม่น่าเชื่อว่า ไม่ค่อยมีใครทำมัน การเทรดแค่คู่เดียวจะช่วยเราได้ เพราะ จะทำให้คุณมีสมาธิ และพยายามเรียนรู้ เกี่ยวกับค่าเงินคู่นั้น ๆ ดังนั้น มันจะทำาให้คุณเข้าใจว่า มันเคลื่อนไหวยังไง?

ถ้าคุณพยายามดื้อดึง เทรด 5 คู่ ในเวลาเดียวกัน การเรียนรู้ในการเทรดย่อมจะยากกว่า

คุณจะต้องเรียนรู้ลักษณะพิเศษ ของค่าเงินแต่ละคู่ คุณจะต้อง:
1. มีปฏิกิริยากับข่าว ที่แตกต่างตามค่าเงิน
2. อัตราการวิ่งของแต่ละคู่ที่ บางคู่ช้า บางคู่เคลื่อนไหวเร็ว
3. เวลาที่คู่เงินเคลื่อนไหวแตกต่างกันในช่วงวันหนึ่ง
4. ต้องจัดการออร์เดอร์ที่เปิดอยู่ แตกต่างกันไป

ในฐานะมือใหม่ การกระโดดเข้าเล่นหลายคู่แบบนี้ จะทำให้มีความกดดันสูง และทำให้เรียนรู้ได้ช้า

ดังนั้น ควรเริ่มด้วยการ เทรดคู่เดียว
เมื่อคุณได้กำไร คุณสามารถเทรดได้หลายคู่ เท่าที่คุณจะสามารถรับได้


11. เทรดเพียงแค่ Time Frame (TF) เดียว
การเทรด Time Frame เดียวก็เป็นการทำให้ระบบธรรมดา

การดู Time Frame เดียวมีประโยชน์ ดังนี้ :
1. ทำให้คุณมีสมาธิจดจ่อกับการเรียนรู้ ในแต่ละ Time Frame ดังนั้น มันจะช่วยลดความสับสน ที่มาพร้อมกับ การเรียนรู้การใช้ หลาย ๆ Time Frame
2. ทำให้คุณต้องดูกราฟน้อย และมีสมาธิในการวิเคราะห์กราฟ Time Frame เดียวมากขึ้น ดังนั้น จะทำให้คุณ วิเคราะห์ มีประสิทธิภาพ และคุณภาพในการวิเคราะห์
3. ช่วยลดการวิเคราะห์มากเกินไป โดยการดูหลาย Time Frame ซึ่งทำให้เกิดข้อขัดแย้ง
4. มันทำให้ชีวิตง่ายขึ้น

จำ ไว้เสมอว่า ทั้งหมดนี้เพื่อทำให้ระบบเทรดของเราธรรมดามาก ถ้าคุณเทรด Time Frame เดียว และคู่เงินเดียว ในฐานะมือใหม่ คุณไม่ควรจะไปยึดกับกราฟหลายกราฟ

ควรจะเทรดกราฟเดียว จนกว่า คุณจะได้กำไรอย่างต่อเนื่อง

12. กราฟสะอาด
มือ ใหม่ส่วนใหญ่ จะใส่ Indicator เต็มไปหมดในกราฟของพวกเขา ตอนที่เข้าเทรด Indicator ช่วยคุณในการเทรด ฉะนั้นถ้าเราใส่เยอะ หมายความว่าดีกว่า ? ผิด หรือ ถูกกันแน่!

เมื่อเทรดเดอร์มีประสบการณ์มากขึ้น พวกเขาจะพบว่า ยิ่งน้อยก็ยิ่งดี Indicator ที่มากจะทำให้คุณสับสนมากขึ้น

ยิ่งคุณมี Indicator มากเท่าไหร่ก็จะทำให้... 
1. ทำให้กราฟยุ่งเหยิง ยากต่อการวิเคราะห์กราฟ
2. ทำให้คุณ ต้องคิดมากกว่าปกติ และการตัดสินใจของคุณแย่ลง
3. เพิ่มความขัดแย้งของสัญญาณมากขึ้น ระหว่าง Indicator

ฟังดูไม่เวิร์คเลย ใช่ไหม ?
Indicator ไม่ใช่ทั้งหมดของการเทรด จะเทรดด้วยกราฟเปล่า ๆ และอัตรากำไรต่อขาดทุนถึง 80 % ไม่ได้บอกว่า คุณต้องเอา Indicator ออกให้หมด แต่ว่า หลายคนเทรดโดยไม่ใช้ Indicator พร้อมกับแนวรับแนวต้านและ รูปแบบกราฟแท่งเทียนต่าง ๆ

อย่างน้อยไม่ควรมีเกินสองตัวในกราฟของคุณ

Credit  :  http://www.thenpoor.ws/forex/12tip.html





หน้าแรก  การตี Trendline  การวิเคราะห์แนวโน้มของตลาด  การใช้pivot point  12 เรื่องที่ต้องรู้ในการเทรด  การตั้งค่าใช้งาน MT4  การใช้งานและคีย์ลัดใน MT4  แหล่งข่าว  แนวทางหลักการของ วอเร็น บัฟเฟ็ตต์  The 10 Commandments ของการลงทุน by ลุงโฉลก  ก่อนการเริ่มเทรดทุกครั้งเราควรคำนึงถึงสิ่งใดบ้าง  กฎ 10 ข้อ และการวิเคราะห์เทคนิค  ระบบการเทรดโดยใช้เส้น EMA 5 ,10  ระบบการเทรดของผม การใช้ Stochastic  การวิเคราะห์ และ วิธีการอ่านข่าว  เว็บแหล่งรวม Indicator  การใช้ fibonacci  หลักการเทรดฟอเร็กซ์

การใช้งานโปรแกรม MT4

การใช้งาน MT4



คีย์ลัดในโปรแกรม MT4 

ลูกศรซ้าย = เลื่อนกราฟไปทางซ้าย
ลูกศรขวา = เลื่อนกราฟไปทางขวา
Page Up = เลื่อนกราฟไปทางซ้ายแบบรวดเร็ว
Page Down = เลื่อนกราฟไปทางขวาแบบรวดเร็ว
Home = เลื่อนกราฟกลับไปในอดีตที่โปรแกรมสามารถแสดงให้ดูได้
End = เลื่อนกราฟกลับมาที่ปัจจุบัน
ปุ่มลบ (-) = ซูมกราฟออก
ปุ่มบวก (+) = ซูมกราฟเข้า
Delete = ลบเครื่องมืดที่ขีดไว้ออกจากหน้าจอ
ปุ่ม Backspace = ลบเครื่องมือที่ลากไว้ล่าสุดออกไป
ปุ่ม Enter = เปิดหน้าต่างค้นหากราฟ
ปุ่ม ESC = ปิดหน้าต่างค้นหากราฟ
ปุ่มฟังชั่นต่าง ๆ (Function Keys)
F1 = เปิดคู่มือการใช้งาน MT4 เบื้องต้น (ภาษาอังกฤษ)
F2 = เปิดดูข้อมูลของกราฟย้อนหลัง
F4 = เปิด “Meta editor” (แก้ไขข้อมูลของโปรแกรมใน drive c)
F8 = เปิดหน้าต่าง “Properties” ขึ้นมา
F9 = เปิดหน้าต่าง New Order (หน้าต่างที่จะใช้ในการทำการซื้อขายหรือเทรด) ขึ้นมา
F10 = เปิดหน้าต่าง Popup Price (จะเป็นตัวเลขเล็ก ๆ วิ่งไปวิ่งมา) ขึ้นมา
F11 = ทำใจกราฟกลายเป็น Full Screen (ขยายเต็มจอ)
F12 = เลื่อนหน้าจอกลับไปทางซ้าย
ปุ่ม Shift + ปุ่มฟังชั่น 
Shift + F12 = ปุ่มเลื่อนราคาย้อนกลับทีละหนึ่งแท่งเทียน
Shift + F5 = เปลี่ยนกราฟที่เรียงอยู่ส่วนของ profile ของเรา
ปุ่ม Alt + ปุ่มลัด
Alt + 1 = เปลี่ยนรูปแบบของกราฟเป็นรูปแบบของ Bar Chart
Alt + 2 = เปลี่ยนรูปแบบของกราฟเป็นรูปแบบ Candlestick Chart
Alt + 3 = เปลี่ยนรูปแบบของกราฟเป็นรูปแบบ Line Chart (กราฟเส้น)
Alt + W = เรียกหน้าต่างช่วยในการจัดการกราฟปัจจุบันที่ใช้อยู่ออกมา
Alt + F4 = ปุ่มออกจากโปรแกรม
Alt + Backspace = เรียกเอาเครื่องมือที่ลบไปล่าสุดกลับคืน
ปุ่ม Ctrl + ปุ่มลัด
Ctrl + A = ปรับขนาดของหน้าจออินดิเคเตอร์ให้กลับมาอยู่ในรูปร่างปกติ (ในกรณีที่มีอินดิเคเตอร์ในหน้าจอ)
Ctrl + B = เรียกหน้าต่าง “จัดการเครื่องมือ (Object List)”ขึ้นมา
Ctrl + C = ก๊อบบี้ตัวอักษร หรือ คำใน MT4
Ctrl + D = เรียกหน้าต่าง Data Window ออกมา
Ctrl + E = เรียกใช้ Expert Advisor (EA)
Ctrl + F = เรียกใช้เครื่องมือ “Cross Hair”
Ctrl + G = เรียกใช้หรือไม่ใช้ Grid (ตาราง)
Ctrl + H = เรียกดู OHLC ( Open, High, Low, Close) ของวัน
Ctrl + I = เรียกหน้าต่าง “จัดการอินดิเคเตอร์ (Indicator List)” ขึ้นมา
Ctrl + L = เรียก Volume ของราคาให้ขึ้นมาแสดงผลบนหน้าจอ
Ctrl + M = เรียกหน้าต่าง Market Watch ออกมา
Ctrl + N = เรียกหน้าต่าง Navigator ออกมา
Ctrl + O = เรียกหน้าต่าง Option หรือ Setup ออกมา 
Ctrl + P = ปรินส์กราฟออกมา (ในกรณีที่ต้องการปรินส์กราฟออกมาดูข้างนอก)
Ctrl + R = เรียกหน้าต่าง Tester ออกมา
Ctrl + S = เซฟกราฟที่ใช้เทรดเอาไว้ซึ่งจะออกมาในรูปแบบของไฟล์นามสกุล “CSV", "PRN", "HTM";
Ctrl + T = เรียกหน้าต่าง Terminal ออกมา
Ctrl + W หรือ Ctrl + F4 = ปิดหน้าต่างกราฟที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
Ctrl + Y = แสดงหรือซ่อนเส้นแบ่งวัน (Period Separator)
Ctrl + Z = เรียกเอาเครื่องมือที่ลบไปล่าสุดกลับคืน
Ctrl + ปุ่มฟังชั่น
Ctrl + F5 = เปลี่ยนกราฟที่ได้ตั้งค่าไว้ใน profile ของเรา
Ctrl + F6 = เปลี่ยนนหน้าต่างของกราฟที่เราใช้อยู่ ณ ปัจจุบันเป็นอันถัดไป





หน้าแรก  การตี Trendline  การวิเคราะห์แนวโน้มของตลาด  การใช้pivot point  12 เรื่องที่ต้องรู้ในการเทรด  การตั้งค่าใช้งาน MT4  การใช้งานและคีย์ลัดใน MT4  แหล่งข่าว  แนวทางหลักการของ วอเร็น บัฟเฟ็ตต์  The 10 Commandments ของการลงทุน by ลุงโฉลก  ก่อนการเริ่มเทรดทุกครั้งเราควรคำนึงถึงสิ่งใดบ้าง  กฎ 10 ข้อ และการวิเคราะห์เทคนิค  ระบบการเทรดโดยใช้เส้น EMA 5 ,10  ระบบการเทรดของผม การใช้ Stochastic  การวิเคราะห์ และ วิธีการอ่านข่าว  เว็บแหล่งรวม Indicator  การใช้ fibonacci  หลักการเทรดฟอเร็กซ์

แนวทางหลักการของ วอเร็น บัฟเฟ็ตต์


โดยทฤษฎีของ บัฟเฟ็ตต์ นั่นจะลงทุนโดยแนวคิด พื้นฐาน วินัย ความอดทน  เป็นทฤษฎี ค่อยๆรวย โดยลงแบบผู้รอบรู้ หลักสูตรรวยทางลัดไม่มี มักจะกลายเป็นหลักสูตรจนทางลัดแทน
โดย เราจะนำแนวคิดของบัฟเฟ็ตต์มาประยุกต์ใช้ทาง Technical Analysis ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนแบบ speculate (เก็งกำไร เล่นสั้น) นักลงทุนระยะกลาง ระยะยาว ใช้ได้หมด

1. เลือกความเรียบง่ายมากกว่าความซับซ้อน
2. ฝึกความอดทน  (รอจังหวะที่ดี อย่ารีบ)
3. มีสติและควบคุมอารมณ์ได้
4. คิดอย่างอิสระ
5. ไม่สนใจ ไม่วอกแวกจากภาพรวมภายนอก
6. ไม่ลงทุนด้วยสัญชาตญาณ (คิดเอง เดาเองหรือเสี่ยงเล่นดู )
7. ฝึกการอยู่นิ่งๆ ไม่ซื้อขายมากเกินไป
8. เป็นนักฉวยโอกาสเมื่อตลาดมีสภาวะสดใส ชัดเจน
9. อย่าตีบอลทุกลูกที่ขว้างมา (อย่าเข้าๆออกๆบ่อยเกินไป)
10. จงอยู่ในขอบเขตความรู้ของคุณ (มีความรู้แบบไหนก็ใช้วิธีเล่นแบบที่คุณรู้ )
11. จงตื่นกลัวเมื่อคนอื่นกำลังโลภและจงโลภเมื่อคนอื่นกำลังตื่นกลัว
12. อ่านและอ่านให้มากแล้วคิดให้ดี
13. อย่าทำพลาดแล้วเรียนรู้จากความผิดความของผู้อื่น
14. ก้าวสู้การเป็นนักลงทุนผู้รอบรู้และ ฝึกที่จะพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง







หน้าแรก  การตี Trendline  การวิเคราะห์แนวโน้มของตลาด  การใช้pivot point  12 เรื่องที่ต้องรู้ในการเทรด  การตั้งค่าใช้งาน MT4  การใช้งานและคีย์ลัดใน MT4  แหล่งข่าว  แนวทางหลักการของ วอเร็น บัฟเฟ็ตต์  The 10 Commandments ของการลงทุน by ลุงโฉลก  ก่อนการเริ่มเทรดทุกครั้งเราควรคำนึงถึงสิ่งใดบ้าง  กฎ 10 ข้อ และการวิเคราะห์เทคนิค  ระบบการเทรดโดยใช้เส้น EMA 5 ,10  ระบบการเทรดของผม การใช้ Stochastic  การวิเคราะห์ และ วิธีการอ่านข่าว  เว็บแหล่งรวม Indicator  การใช้ fibonacci  หลักการเทรดฟอเร็กซ์


The 10 Commandments ของการลงทุน by ลุงโฉลก



1.อย่าลงทุนในตลาดที่ตัวเองไม่มีความรู้ 
แต่ละตลาด แต่ละหุ้น แต่ละ Commodity แต่ละสัญญา ฯลฯ มีลักษณะต่างกัน บางตลาดมี Wave 3 เป็น Wave ที่ใหญ่ที่สุด บางตลาดมี Wave 5 เป็น Wave ที่ใหญ่กว่า Wave 3 บางตลาดมี Seasonal pattern และบางตลาดมี financial pattern นักลงทุนควรมีความรู้ทางด้าน Fundamental ในเรื่องเหล่านี้ด้วย แต่ไม่ใช่ Fundamental จนถึงขนาดที่จะต้องเข้าไปเรียนรู้สภาพทางการเงิน ฯลฯ นักลงทุนที่ลงทุนอยู่ในตลาดยางพารา ไม่ควรกระโดดเข้าตลาด Forex ทันที เพราะแต่ละตลาดมีลักษณะไม่เหมือนกัน กฏเกณฑ์ไม่เหมือนกัน Margins ไม่เท่ากัน ฯลฯ การลงทุน ควรลงทุนอย่างมีความสุข ไม่ใช่เสี่ยงไปเรื่อยๆในตลาดที่ตัวเองไม่มีความชำนาญ ถ้าไม่มีความรู้ความชำนาญเพียงพอ อาจจะดีกว่าที่จะให้ Fund managers เป็นผู้ลงทุนให้

2. อย่าลงทุนตามคำแนะนำว่าเป็นข้อมูลลับ รู้เฉพาะกลุ่ม
นักลงทุนที่ลงทุนมาทั้งชีวิต เป็นเวลาหลายสิบปี ต่างก็มีประสบการณ์เดียวกัน คือไม่เคยรู้ Inside information จริงๆสักครั้งหนึ่ง ที่เพียงพอที่จะทำกำไรได้มากมาย เหตุผลก็คือ ข้อมูลอย่างนั้นไม่มีในโลก ถ้ามี ก็เป็นสิ่งผิดกฏหมาย และถ้ามีจริง ก็ไม่มีใครบอกคนอื่น ข้อมูลบางประการที่อาจจะรู้ได้ก่อนตลาดเล็กน้อย ก็แสดงออกในรูปของการเปลี่ยนแปลงใน Chart pattern แล้ว ดังนั้น อย่าเชื่อ เมื่อมีใครบอกว่ามีข้อมูลทีเด็ด ให้ซื้อหุ้นตัวนั้น ตัวนี้ ฯลฯ หลอกกันทั้งนั้นครับ แต่ถ้าไม่ใช่ข้อมูลลับ แต่เป็น ข่าวลือ ที่ลือกัน หึ่ง ในตลาด ข้อนี้เอามาใช้ได้ครับ ตลาดมักจะขึ้นเมื่อมีข่าวลือ และเมื่อข่าวลือ Confirm แล้ว ตลาดก็จะตก โดยทั่วๆไป ข่าวลือ มักไม่มีประโยชน์จริงจังในการตัดสินใจ

3. ใช้คำสั่งที่ ธรรมดา ที่สุด
คำสั่งซื้อขายที่ธรรมดาที่สุดคือ Market order อย่าเสียเวลาพยายามซื้อที่ราคาถูกกว่าราคาตลาดเล็กน้อย หรือขายที่ราคาสูงกว่าราคาตลาดเล็กน้อย ถ้าสามารถซื้อได้ที่ราคาต่ำกว่าราคาตลาดเล็กน้อย ก็แปลว่าตลาดกำลังลง ซื้อไปก็ขาดทุน หรือเมื่อขายได้ที่ราคาสูงกว่าตลาดเล็กน้อย ก็แปลว่าตลาดกำลังขึ้น กำลัง ขายหมู ดังนั้น คำสั่ง Limit จึงมีแต่ความผิดหวัง ถ้าซื้อตามคำสั่งไม่ได้ก็ผิดหวัง ถ้าซื้อได้ตลาดก็กำลังลง ฯลฯ พยายามใช้คำสั่งที่ง่ายที่สุด คือ at market แล้วเอาเวลา (ที่จะลุ้นเพื่อผิดหวัง) ไปพิจารณาเรื่องอื่นที่เป็นประโยชน์ดีกว่า

4. อย่าเปลี่ยนสูตรกลางการลงทุน
อย่าเปลี่ยนม้ากลางศึก เมื่อลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง โดยวางแผนจะใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง ให้พิจารณาให้ดีก่อนเริ่มลงทุน เมื่อมี Position แล้ว อย่าเปลี่ยนวิธีการลงทุน อย่าเปลี่ยนสูตร ใช้วิธีที่พิจารณาแล้วนั้น ทำต่อไปจนจบการลงทุนในครั้งนั้นๆ ถ้าจะเปลี่ยนสูตร หรือเปลี่ยนวิธี ฯลฯ ก็พิจารณาแล้วใช้ในการลงทุนครั้งต่อไป เมื่อนักลงทุนอยู่ไกล้ตลาดเกินไป คือดูราคาบ่อยๆระหว่างวัน การเคลื่อนไหวเล็กๆน้อยๆของราคา ก็อาจจะทำให้จิตหวั่นไหว และเปลี่ยนแผนการลงทุนในท่ามกลางอย่างไม่มีเหตุผล ผลก็คือการขาดทุน

5. อย่าคันมือ
ถ้ายังไม่สามารถหาจุดเข้า ซื้อ/ขาย ตามทฤษฎีได้ เป็นเวลาที่ต้องอยู่เฉยๆ ไม่ลงทุน เรื่องนี้เป็นจุดอ่อนที่สุดของนักลงทุน คือซื้อเป็น ขายเป็น แต่อยู่เฉยๆไม่เป็น นักลงทุนต้องฝึกฝนให้ตัวเองเป็นผู้มี ระเบียบ ในการลงทุนตาม ระบบ ถ้ามีเหตุอันใดก็ตามที่ทำให้ ตกรถ ก็ต้องยอมรับการ ตกรถ อย่าฝืนกฏกระโดดขึ้นรถที่ออกวิ่งแล้ว จะตกลงมาบาดเจ็บเปล่าๆ อย่ากังวลว่าจะไม่ได้ Trade โอกาสจะย้อนมาใหม่อีกเสมอ ในทำนองเดียวกัน เมื่อเข้า ซื้อ/ขาย มี Positions แล้ว ถ้าผิดทาง หรือถ้าตลาดไม่ Move ในทิศทางที่เราคาดหมาย ก็อย่าทนดื้อด้านอยู่ด้วยความหวังลมๆแล้งๆ กำหนด Stop loss ให้ Sensitive ถ้าตลาดไม่เคลื่อไปในทิศทางที่เราคาดหมายภายใน 2-3 วัน ออกไปหาตลาดอื่นดีกว่า

6. พิจารณาตลาดอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย
ไม่มีตลาดใดตลาดหนึ่งที่เป็นเอกเทศ ทุกตลาดจะมีความสัมพันธ์กับบางตลาดเสมอ เช่น TFEX จะมีความสัมพันธ์โดยตรงกับ SET Index และมีความสัมพันธ์ในทางตรงกันข้ามกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท ยางพาราที่ AFET มีความสัมพันธ์โดยตรงกับตลาดยางพาราที่ TOCOM และตลาดการผลิตรถยนตร์ของจีนแผ่นดินใหญ่ ฯลฯ บ่อยครั้งที่มีสัญญาณจากตลาดอื่น เกิดขึ้นก่อนสัญญาณ ซื้อ/ขาย ในตลาดที่เรากำลังลงทุนอยู่ สภาพดินฟ้าอากาศและการทำนายสภาวะอากาศล่วงหน้า มีผลอย่างมากต่อราคาของตลาด Corn ใน Futures market นักลงทุนไม่ควรพิจารณา Technical aspect ของสินค้าตัวใดตัวหนึ่งโดยลำพัง ควรพิจารณาตลาดอื่นๆที่เกี่ยวข้องด้วย

7. ให้ความสำคัญต่อ Open Interest ในการ Trade Options
ถ้านักลงทุนจะลงทุนในตลาด Options ที่กำลังจะเปิดในประเทศของเราเร็วๆนี้ สิ่งแรกที่จะต้องพิจารณาคือ จำนวน Open Interest ใน Option นั้นๆ ที่ Strike price นั้นๆ ที่ Expiry date นั้นๆ เพราะถ้าตลาดมี Open Interest น้อย ราคา Bid และ Offer ก็จะต่างกันมาก และเมื่อเปิดหลายๆ Positions แล้ว ก็อาจจะ Close positions ก่อนถึง Expiry date ไม่ได้ ใน Complex option trading เช่นการใช้ Surrogate Covered Call Write โดยใช้ Option ชนิด LEAPS (Long-Term Equity AnticiPation Securities) แทนการถือ Long positions ฯลฯ เทคนิคเหล่านี้ ถึงแม้จะเป็นการลดความเสี่ยง แต่ก็ต้องเปิดหลาย Positions ในตลาดที่มี Open interest น้อย จะทำให้เกิด Slippage คือ ซื้อ/ขาย ที่ราคา Market ไม่ได้ และอาจจะทำให้ระบบเหล่านั้นไม่ทำงานตามที่วางแผนการลงทุนเอาไว้

8. รู้จักขอบเขตุความสามารถของตัวเอง
นักลงทุนสามารถเลือกตลาดที่จะลงทุนได้ สามารถเลือกชนิดของคำสั่งในตลาดได้ สามารถเลือกเวลาที่จะเข้า ซื้อ/ขาย ได้ สามารถกำหนดจำนวนสัญญาที่จะลงทุนได้ และสามารถกำหนดการ Stop loss หรือ Liquidate หรือ Cover หรือ Take profit ได้ แต่นักลงทุนไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของตลาดได้ ตลาดมักจะสร้าง Pattern แปลกๆ ที่เราไม่คาดคิดเสมอ การรู้ขอบเขตุความสามารถของตัวเอง ว่าเราไม่สามารถควบคุมตลาดได้ ไม่มีใครรู้อนาคต เป็นความจริงที่นักลงทุนจะต้องระลึกไว้เสมอ

9. รอสัญญาณก่อนเข้าตลาด
บ่อยครั้งที่นักลงทุนสามารถมองเห็น Pattern ได้ก่อน และสามารถรู้ล่วงหน้าว่าตลาดจะไปทางไหน นักลงทุนมักจะเข้า ซื้อ/ขาย ทันที ซึ่งเป็นข้อผิดพลาด เพราะตลาดมักจะแปรเปลี่ยนไปในทิศทางที่เราไม่คาดหวังได้ง่ายๆ การลงทุนที่ดีกว่า คือการรอให้เกิด สัญญาณ ซื้อหรือขายเสียก่อน คือให้ตลาด Confirm การคาดหวังของเราเสียก่อน แล้วค่อยเข้าไป ซื้อ/ขาย ตามสัญญาณนั้นๆ เราไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อได้ที่ Low หรือขายได้ที่ High แต่เราจำเป็นที่จะต้องเห็นราคาสูงขึ้นหลังจากซื้อ และต่ำลงหลังจากขาย

10. อย่าลงทุนเกินจำนวนเงินที่สามารถเสี่ยงได้
ในตลาด Futures เมื่อราคาเคลื่อนไปในทิศทางตรงกันข้ามกับการคาดหมายของเรา ตลาดจะมี Margin Call ที่นักลงทุนจะต้องจ่ายทันที หรือโดน Force liquidation ดังนั้น การลงทุนจึงต้องเผื่อเงินเอาไว้ให้เพียงพอต่อ Margin call และเพียงพอต่อการลงทุนรอบต่อไป ถ้ารอบแรกๆขาดทุน โดยปรกติ ลุงโฉลกจะตั้งกฏเอาไว้ให้ใช้เงิน 6 เท่าของ Total margin requirement สำหรับการลงทุนในปีแรก และลดลงเหลือ 4 เท่าในปีต่อๆไป

ที่มา : http://www.chaloke.com/






หน้าแรก  การตี Trendline  การวิเคราะห์แนวโน้มของตลาด  การใช้pivot point  12 เรื่องที่ต้องรู้ในการเทรด  การตั้งค่าใช้งาน MT4  การใช้งานและคีย์ลัดใน MT4  แหล่งข่าว  แนวทางหลักการของ วอเร็น บัฟเฟ็ตต์  The 10 Commandments ของการลงทุน by ลุงโฉลก  ก่อนการเริ่มเทรดทุกครั้งเราควรคำนึงถึงสิ่งใดบ้าง  กฎ 10 ข้อ และการวิเคราะห์เทคนิค  ระบบการเทรดโดยใช้เส้น EMA 5 ,10  ระบบการเทรดของผม การใช้ Stochastic  การวิเคราะห์ และ วิธีการอ่านข่าว  เว็บแหล่งรวม Indicator  การใช้ fibonacci  หลักการเทรดฟอเร็กซ์



แหล่งข่าว

ก่อนการเริ่มเทรดทุกครั้งเราควรคำนึงถึงสิ่งใดบ้าง


1.ถามตัวเองว่าเทรดเพราะอะไร  และให้หาจุดที่ดีที่สุด

2.ควรรู้จุด Cut Loss  และมีจุด Stop Loss

3.ต้องรู้ว่าจะเทรดเมื่อไหร่ และเมื่อไหร่ควรจะหยุดเทรด

4.Profit Target  กำหนดเป้าหมายของตัวเอง

5.สภาวะอารมณ์ของเราและสิ่งแวดล้อมของเป็นอย่างไร 
   ถ้ามีสิ่งรบกวนก็ควรหยุดเทรดก่อน





หน้าแรก  การตี Trendline  การวิเคราะห์แนวโน้มของตลาด  การใช้pivot point  12 เรื่องที่ต้องรู้ในการเทรด  การตั้งค่าใช้งาน MT4  การใช้งานและคีย์ลัดใน MT4  แหล่งข่าว  แนวทางหลักการของ วอเร็น บัฟเฟ็ตต์  The 10 Commandments ของการลงทุน by ลุงโฉลก  ก่อนการเริ่มเทรดทุกครั้งเราควรคำนึงถึงสิ่งใดบ้าง  กฎ 10 ข้อ และการวิเคราะห์เทคนิค  ระบบการเทรดโดยใช้เส้น EMA 5 ,10  ระบบการเทรดของผม การใช้ Stochastic  การวิเคราะห์ และ วิธีการอ่านข่าว  เว็บแหล่งรวม Indicator  การใช้ fibonacci  หลักการเทรดฟอเร็กซ์

การตั้งค่าใช้งาน MT4

การตั้งค่าใช้งาน MT4

สำหรับใครที่ยังไม่เคยใช้โปรแกรม MT4 เรามีวิธีการตั้งค่ามาแนะนำครับเพราะการตั้งค่าเปรียบเหมือนอาวุธสำคัญ ที่เราจะสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของกราฟได้ดียิ่งขึ้น เรามาดูวิธีการตั้งค่ากันครับ

อันดับแรกให้เรามา คลิกขวาที่กราฟเลือก Grid ตามภาพเลยครับ


จึงจะออกมาตามภาพนี้ครับ


จากนั้นให้คลิกขวาที่กราฟแล้วเลือก Properries ที่อยู่ข้างล่างสุด
จะได้ภาพนี้ออกมา  จากนั้นให้ตั้งค่าสีให้เหมือนตามนี้ครับ โดยมีลูกศรชี้ลงที่อยู่ข้างขวาของแต่ละสีให้คลิกเปลี่ยนสี


ต่อจากนั้นให้คลิก คำว่า Common ที่อยู่หัวข้างบนซ้าย
แล้วตั้งค่าตามนี้ครับ


สุดท้ายทำการใส่ Bollinger Bands โดยการคลิกตามภาพครับ


แล้วให้ตั้งค่าตามนี้ครับหรือถ้าใครเปิดออกมาแล้วค่าตามนี้เลยก็กด OK ได้เลยครับ 


แค่นี้เองครับเป็นอันเสร็จสิ้นการตั้งค่าครับ
จะได้ภาพออกมาตามนี้ครับ



ถ้ายังไม่เข้าใจมาดูวีดีโอนี้กันครับ








หน้าแรก  การตี Trendline  การวิเคราะห์แนวโน้มของตลาด  การใช้pivot point  12 เรื่องที่ต้องรู้ในการเทรด  การตั้งค่าใช้งาน MT4  การใช้งานและคีย์ลัดใน MT4  แหล่งข่าว  แนวทางหลักการของ วอเร็น บัฟเฟ็ตต์  The 10 Commandments ของการลงทุน by ลุงโฉลก  ก่อนการเริ่มเทรดทุกครั้งเราควรคำนึงถึงสิ่งใดบ้าง  กฎ 10 ข้อ และการวิเคราะห์เทคนิค  ระบบการเทรดโดยใช้เส้น EMA 5 ,10  ระบบการเทรดของผม การใช้ Stochastic  การวิเคราะห์ และ วิธีการอ่านข่าว  เว็บแหล่งรวม Indicator  การใช้ fibonacci  หลักการเทรดฟอเร็กซ์

กฎ 10 ข้อ และการวิเคราะห์เทคนิค

กฎ 10 ข้อในการอยู่รอดและการลงทุนด้วย การวิเคราะห์ทางเทคนิค




          กฎ ทั้ง10 ข้อนี้ เป็นหลักการสำคัญสำหรับผู้ที่ใช้วิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับการลงทุน เพราะหากไม่มีหลักการดังกล่าวแล้ว เราก็จะไม่สามารถกำหนดการซื้อขายที่เป็นรูปแบบได้ ซึ่งในกฎเหล่านี้จะพูดถึงการวิเคราะห์แนวโน้ม , หาจุดกลับตัว, ติดตามค่าเฉลี่ย, มองหาสัญญาณเตือน และอื่นๆ
หากท่านสามารถเข้าใจและ ปฎิบัติตามหลักการเหล่านี้ได้ผมเชื่อว่าท่าน ก็สามารถเอาตัวรอด ด้วยการลงทุนโดยใช้หลักการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้ครับ

1. ดูแนวโน้ม
เรียน รู้ชาร์ตในระยะยาว โดยเริ่มการวิเคราะห์ชาร์ตในระดับเดือนและสัปดาห์ ของช่วงเวลาหลายๆปี การดูชาร์ตในระดับของช่วงเวลาที่กว้างขึ้นจะทำให้สามารถมองเป็นแนวโน้มของ ตลาดในระยะยาวได้ชัดเจนขึ้น เมื่อทราบถึงแนวโน้มระยะยาวแล้ว จึงจะดูชาร์ตในระดับวันและนาที การดูแนวโน้มในช่วงสั้นเพียงอย่างเดียวจะทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ถึงแม้ว่าคุณจะลงทุนในระยะสั้น คุณจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหากคุณลงทุนในทิศทางเดียวกับแนวโน้มในระยะกลางและ ยาว

2. วิเคราะห์และไปตามแนวโน้ม
แนว โน้มของตลาดมีหลายช่วงเวลา ระยะยาว ระยะกลาง และระยะสั้น สิ่งแรกคือ คุณต้องรู้ว่าคุณจะลงทุนในระยะเวลาเท่าใด และวิเคราะห์ชาร์ตของช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยที่คุณต้องแน่ใจว่าคุณลงทุนไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มในระยะเวลานั้นๆ ซื้อเมื่อแนวโน้มอยู่ในขาขึ้น และขายเมื่อแนวโน้มอยู่ในขาลง หากคุณลงทุนในระยะกลาง ให้ใช้ชาร์ตในระดับวันและสัปดาห์ ถ้าคุณลงทุนระยะสั้น ให้ใช้ชาร์ตระดับวันและรายนาที อย่างไรก็ตาม ในแต่ละกรณี ให้ดูแนวโน้มของช่วงเวลาที่ยาวขึ้น และใช้ชาร์ตของช่วงเวลาที่สั้นลงในการหาจุดที่จะเข้าซื้อ-ขาย

3. หาจุดสูงสุดและต่ำสุด
วิเคราะห์ แนวรับและแนวต้าน จุดที่ดีที่สุดในการเข้าซื้อก็คือจุดใกล้แนวรับซึ่งมักจะเป็นจุดต่ำสุดของ รอบการซื้อขายที่แล้ว จุดที่ดีที่สุดสำหรับการขายก็คือจุดที่ใกล้แนวต้าน ซึ่งมักจะเป็นจุดสูงสุดของรอบการซื้อขายที่แล้ว หากมีการเคลื่อนผ่านแนวต้าน แนวต้านนั้นจะกลายเป็นแนวรับสำหรับการปรับตัวลดลง อีกนัยหนึ่ง จุดสูงสุดเดิมกลายเป็นจุดสูงสุดใหม่ และเช่นเดียวกัน ในกรณีที่ราคาทะลุผ่านแนวรับ มักจะมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้จุดต่ำสุดเดิมกลายเป็นจุดต่ำสุดใหม่

4. รู้ว่าจะไปไกลแค่ไหนจึงจะกลับตัว
เทียบ อัตราส่วนการขึ้น-ลง เป็นเปอร์เซนต์ โดยทั่วไปตลาดจะมีการกลับตัวทั้งขึ้นและลงตามสัดส่วนเปอร์เซนต์ของแนวโน้ม ของช่วงก่อน คุณสามารถวัดอัตราส่วนของการปรับตัวขึ้นหรือลงของแนวโน้มปัจจุบันได้โดยใช้ อัตราส่วนชุดหนึ่งที่มีการกำหนดค่าไว้แล้ว เช่น การกลับตัวขึ้นหรือลง 50%ของแนวโน้มก่อน เป็นอัตราพื้นฐานที่ใช้กันบ่อย อัตราส่วนต่ำสุดของการวัดการดีดกลับ คือ 1/3 ของแนวโน้มก่อน และอัตราส่วนสูงสุดคือ 2/3 อัตราส่วนที่สำคัญและควรให้ความสนในก็คือ อัตราส่วน Fibonacci 36% และ 62% ดังนั้น เมื่อตลาดมีการพักในช่วงแนวโน้มขาขึ้น จะมีจุดซื้อคืนจุดแรกเมื่อตลาดปรับตัวลง 33-38% ของจุดสูงสุด

5. ใช้เส้นแนวโน้ม
เส้น แนวโน้มเป็นหนึ่งในเครื่องมือการวิเคราะห์ที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุด สิ่งที่ต้องคำนึงถึงมีเพียงขอบเขตที่เส้นแนวโน้มแสดงและจุด 2 ตำแหน่งบนชาร์ต เส้นแนวโน้มขาขึ้นวาดโดยใช้จุดต่ำสุด 2 จุด ที่อยู่ใกล้กัน และเส้นแนวโน้มขาขึ้นวาดโดยใช้จุดสูงสุด 2 จุดใกล้กัน ราคาของหุ้นมักจะเคลื่อนเข้าใกล้เส้นแนวโน้มก่อนที่จะเคลื่อนกลับเข้าสู่แนว โน้มของมัน หากราคาทะลุผ่านเส้นแนวโน้ม จะแสดงถึงสัญญาณของการเปลี่ยนแนวโน้ม เส้นแนวโน้มจะมีผลเมื่อราคาเคลื่อนแตะที่เส้น 3 ครั้งเป็นอย่างน้อย เส้นแนวโน้มที่ลากได้ยิ่งยาว หมายถึง จำนวนครั้งมากขึ้นของการทดสอบเส้นแนวโน้ม และยิ่งทำให้เส้นแนวโน้มมีความสำคัญมากขึ้น

6. ติดตามค่าเฉลี่ย
หมาย ถึงการเคลื่อนไหวของเส้นค่าเฉลี่ย ซึ่งจะบอกถึงราคาเป้าหมายที่จะซื้อและขาย เส้นค่าเฉลี่ยเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าราคาอยู่ในแนวโน้มเช่นใดและช่วยยืนยัน สัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม อย่างไรก็ตาม เส้นค่าเฉลี่ยไม่ใช่เครื่องมือที่จะบอกล่วงหน้าว่าแนวโน้มกำลังจะเปลี่ยน รูปแบบของการใช้เส้นค่าเฉลี่ยที่เป็นที่นิยมคือการใช้เส้นค่าเฉลี่ย 2 เส้นเพื่อหาจุดซื้อ-ขาย ค่าที่นิยมใช้สำหรับค่าเฉลี่ยที่ใช้คู่กันคือ 5 วันและ10 วัน, 10 วันและ25วัน, 25 วันและ 50 วัน สัญญาณซื้อ-ขายเกิดขึ้นเมื่อเส้นที่มีค่าเฉลี่ยสั้นกว่าตัดกับเส้นที่ ยาวกว่า หรือ เมื่อราคาเคลื่อนผ่านเส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน เนื่องจากเส้นค่าเฉลี่ยต่างๆเป็นดัชนีที่เคลื่อนไปตามแนวโน้ม การใช้เส้นค่าเฉลี่ยจึงเหมาะสำหรับตลาดที่ในช่วงที่มีแนวโน้มที่ชัดเจน

7. รู้ถึงจุดที่ตลาดกลับตัว
Oscillators (เครื่องมือที่มีตัวเลข ตั้งแต่ 0 ถึง 100) เป็นดัชนีที่ช่วยชี้บอกจุดที่มีการซื้อหรือขายมากเกินไป ในขณะที่เส้นค่าเฉลี่ยจะช่วยยืนยันว่าตลาดการเปลี่ยนแนวโน้ม Oscillators จะช่วยเตือนล่วงหน้าว่าตลาดเคลื่อนไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งมากเกินไป และทำให้เกิดการกลับตัว Oscillators ที่เป็นที่นิยม ได้แก่ Relative Strength Index (RSI) และ Stochastics ทั้งสองตัวนี้จัดเป็นเครื่องมือที่เรียกว่า Oscillators เพราะให้ค่าที่อยู่ในช่วง 0 ถึง 100 เมื่อ RSI มีค่าเกิน 70 จะแสดงถึงการซื้อที่มีมากเกินไป (Overbought) และ ต่ำกว่า 30 แสดงถึงการขายมากเกินไป (Oversold) ค่า Overbought และ Oversold สำหรับ Stochastics คือ 80 และ 20 นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้ค่า 14 วันหรือสัปดาห์สำหรับการคำนวณ Stochastics และ 9 หรือ 14 วันหรือสัปดาห์สำหรับ RSI สัญญาณกลับตัวที่เกิดใน Oscillators จะเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดกำลังจะกลับตัว เครื่องมือเหล่านี้ใช้ได้ดีเมื่อตลาดอยู่ในช่วงที่เหมาะกับการเล่นเก็งกำไร และไม่แสดงแนวโน้มที่ชัดเจน สัญญาณในระดับสัปดาห์สามารถนำมาใช้ช่วยในการขจัดสัญญาณหลอกและยืนยันสัญญาณ ในระดับวัน และใช้สัญญาณระดับวันสำหรับยืนยันสัญญาณในรายนาที

8. มองเห็นสัญญาณเตือน
Moving Average Convergence Divergence (MACD) เป็นดัชนีวัด (พัฒนาโดย Gerald Appel) ที่รวมเอาระบบการตัดผ่านของเส้นค่าเฉลี่ยและการชี้จุด Overbought/Oversold ของ Oscillators ไว้ด้วยกัน สัญญาณซื้อจะเกิดเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดขึ้นเหนือเส้นที่ช้ากว่า โดยที่ทั้ง 2 เส้นอยู่ต่ำกว่าศูนย์ สัญญาณขายเกิดเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดลงต่ำกว่าเส้นที่ช้ากว่าที่เหนือ ศูนย์ สัญญาณในระดับสัปดาห์จะมีน้ำหนักและความสำคัญมากกว่าสัญญาณในระดับวัน MACD histogram ซึ่งมีลักษณะเป็นแท่ง แสดงถึงส่วนต่างระหว่าง MACD ทั้งสองเส้น สามารถส่งสัญญาณเตือนว่าจะมีการเปลี่ยนแนวโน้มได้เร็วกว่าอีกด้วย

9. เป็นแนวโน้มหรือไม่เป็นแนวโน้ม
Average Directional Index (ADX) เป็นดัชนีที่จะบอกว่าตลาดอยู่ในช่วงที่มีแนวโน้มหรือไม่ และเป็นตัวช่วยวัดว่าแนวโน้มนั้นอยู่ในระดับใด เส้น ADX ที่ชี้ขี้นแสดงถึงแนวโน้มที่มีความชัดเจนมาก ควรใช้เส้นค่าเฉลี่ยในการวิเคราะห์ หากเส้น ADX ปรับตัวต่ำลง แสดงถึงตลาดที่ไม่มีแนวโน้มและเหมาะสำหรับเก็งกำไรระยะสั้น ควรใช้ Oscillators ในการวิเคราะห์ การใช้ ADX ช่วยนักลงทุนในการวางแผนกลยุทธ์การลงทุนและในการเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม กับสภาวะตลาด

10. รู้จักการดูสัญญาณเพื่อยืนยันแนวโน้ม
สัญญาณ ที่ให้การยืนยันรวมถึงปริมาณการซื้อขายและจำนวนการซื้อขายที่มีการลงทุนจาก ผู้ที่เข้ามาซื้อขายใหม่ (open interest) ทั้ง 2 ตัวนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการยืนยันแนวโน้มสำหรับตลาดล่วงหน้า ปริมาณการซื้อขายมักจะส่งสัญญาณกลับตัวก่อนที่ราคาจะกลับตัว สิ่งสำคัญคือจะต้องมั่นใจว่ามีปริมาณการซื้อขายอย่างหนาแน่นในทิศทางเดียว กับแนวโน้มปัจจุบัน ในแนวโน้มขาขึ้น ควรมีปริมาณการซื้อขายที่มากขึ้นเพื่อยืนยันว่าแนวโน้มนั้นยังแข็งแรงอยู่ ส่วน open interest ที่เพิ่มขึ้นนั้นจะช่วยยืนยันว่ามีเงินไหลเข้ามาต่อเนื่องและช่วยหนุนให้แนว โน้มปัจจุบันคงอยู่ หาก open interest ลดลง ย่อมเป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มนั้นใกล้สิ้นสุดลง ดังนั้นราคาที่มีแนวโน้มสูงขึ้นควรจะมีปริมาณซื้อขายและ open interest หนุนอยู่ด้วย



ที่มา :: http://onlinemoney.coolpage.biz/index10.php






หน้าแรก  การตี Trendline  การวิเคราะห์แนวโน้มของตลาด  การใช้pivot point  12 เรื่องที่ต้องรู้ในการเทรด  การตั้งค่าใช้งาน MT4  การใช้งานและคีย์ลัดใน MT4  แหล่งข่าว  แนวทางหลักการของ วอเร็น บัฟเฟ็ตต์  The 10 Commandments ของการลงทุน by ลุงโฉลก  ก่อนการเริ่มเทรดทุกครั้งเราควรคำนึงถึงสิ่งใดบ้าง  กฎ 10 ข้อ และการวิเคราะห์เทคนิค  ระบบการเทรดโดยใช้เส้น EMA 5 ,10  ระบบการเทรดของผม การใช้ Stochastic  การวิเคราะห์ และ วิธีการอ่านข่าว  เว็บแหล่งรวม Indicator  การใช้ fibonacci  หลักการเทรดฟอเร็กซ์


ระบบการเทรดโดยใช้เส้น EMA 5 ,10







หน้าแรก  การตี Trendline  การวิเคราะห์แนวโน้มของตลาด  การใช้pivot point  12 เรื่องที่ต้องรู้ในการเทรด  การตั้งค่าใช้งาน MT4  การใช้งานและคีย์ลัดใน MT4  แหล่งข่าว  แนวทางหลักการของ วอเร็น บัฟเฟ็ตต์  The 10 Commandments ของการลงทุน by ลุงโฉลก  ก่อนการเริ่มเทรดทุกครั้งเราควรคำนึงถึงสิ่งใดบ้าง  กฎ 10 ข้อ และการวิเคราะห์เทคนิค  ระบบการเทรดโดยใช้เส้น EMA 5 ,10  ระบบการเทรดของผม การใช้ Stochastic  การวิเคราะห์ และ วิธีการอ่านข่าว  เว็บแหล่งรวม Indicator  การใช้ fibonacci  หลักการเทรดฟอเร็กซ์

เครื่องคำนวนอัตราแลกเปลี่ยน

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Christian Forex Facebook